สารจากประธานกรรมการ

ประเทศไทย

สรุปภาพรวมของปี 2565

เศรษฐกิจไทยเติบโตร้อยละ 2.6 ในปี 2565 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการเติบโตเพียงร้อยละ 1.6 ในปี 2564 ปัจจัยหลักที่หนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยมาจากการประกาศยกเลิกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโดวิด เมื่อเดือนกรกฎาคม 2565 ซึ่งส่งผลให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน ขณะที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยทั้งปีรวมสูงกว่า 11 ล้านคน ทั้งนี้ การบริโภคในประเทศและภาคการท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและจะช่วยทำให้มีภาพการเติบโตที่เป็นบวกต่อภาพเศรษฐกิจโดยรวม

ภาพรวมธุรกิจหลักทรัพย์ยังคงทำผลงานได้ดีแม้ว่าจะปรับตัวลดลงจากปี 2564 ในภาพของมูลค่าการซื้อขาย มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ตลอดทั้งปี 2565 อยู่ที่ 17.1 ล้านล้านบาท ลดลง 19.47% เมื่อเปรียบเทียบกับ 21.3 ล้านล้านบาท ในปี 2564 เนื่องมาจากการกลับมาดำเนินชีวิตแบบปกติหลังจากการประกาศยกเลิกการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด19 ประกอบกับมีธุรกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงที่มีการล็อกดาวน์ ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ Market Cap ของดัชนี SET อยู่ที่ 20.4 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.38 เมื่อเปรียบเทียบกับ 19.5 ล้านล้านบาท ในปี 2564

แนวโน้มปี 2566

UOB Global Economic & Market Research คาดการณ์เศรษฐกิจไทยจะเติบโตร้อยละ 3.7 ในปี 2566 จากความคาดการณ์การฟื้นตัวของรายได้จากการท่องเที่ยวที่จะเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวกับการอุปโภคบริโภคภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง

การเปิดประเทศของจีนที่เร็วกว่าที่ตลาดคาด ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2566 เป็นปัจจัยบวกต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของไทย นอกจากนี้ ประเทศจีนได้เริ่มกลับมาอนุญาตให้สามารถเดินทางออกนอกประเทศแบบกลุ่มนำเที่ยว เบื้องต้นไปยัง 20 ประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย แนวทางดังกล่าวคาดว่าจะเป็นปัจจัยกระตุ้นธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศของไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 30 ล้านราย สำหรับปี 2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากเพียง 11.2 ล้านรายในปี 2565 โดยตัวเลขเป้าหมายดังกล่าวเทียบเท่าระดับท่องเที่ยวร้อยละ 75 ของช่วงเวลาก่อนสถานการณ์ระบาดของโควิด

การส่งออกของไทย คาดว่าจะเติบโตเพียงร้อยละ 1.0 ในปี 2566 ลดลงจากการเติบโตร้อยละ 5.5 ในปี 2565 คาดการณ์โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะกลับมาเกินดุลที่ 5.6 พันล้านบาท ในปี 2566 จากผลขาดดุลถึง 16.9 พันล้านบาท ที่เกิดขึ้นในปี 2565 เนื่องจากการนำเข้าปิโตรเลียมที่คาดว่าจะลดลง และดุลบริการที่คาดว่าจะดีขึ้นจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ภาวะการทวนกระแสโลกาภิวัฒน์ (deglobalisation) และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่เกิดขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ได้ส่งผลให้ผู้ประกอบการผลิตวางแผนที่จะย้ายฐานการผลิตออกจากจีนไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งส่งผลบวกต่อเม็ดเงินลงทุนทางตรงจากต่างชาติ (Foreign Direct Investment) และต่อกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ทั้งนี้ปัจจุบันประเทศไทยมีสำรองกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่สูงกว่าร้อยละ 40 ของกำลังการผลิตของประเทศ ทำให้ไทยเป็นเป้าหมายการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจที่มีการบริโภคไฟฟ้าสูง อาทิ บริการเกี่ยวกับคลาวด์, ศูนย์ข้อมูล (Data center) และยานยนต์ไฟฟ้า

เงินเฟ้อมีสัญญาณชะลอตัวลงตามราคาพลังงานที่ปรับตัวลดลง ซึ่งช่วยลดแรงกดดันฝั่งต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับไฟฟ้า เงินเฟ้อในเดือน มกราคม 2566 ลดลงเหลือร้อยละ 5.02 และธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าจะปรับลดลงเหลือร้อยละ 1-3 เราคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.50 ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2566 ซึ่งจะส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ร้อยละ 1.75

สภาวะตลาดหลักทรัพย์โดยรวมปี 2565

ดัชนี SET ปิดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปี 2565 โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.67 อย่างไรก็ตาม ระหว่างปีมีการปรับตัวลงไปแตะจุดต่ำสุดของปีที่ 1,517.17 จุด ในเดือนกรกฏาคม 2565 ทำให้ผลตอบแทนของตลาดตั้งแต่ต้นปี 2565 จนถึงช่วงดังกล่าว ติดลบร้อยละ 8.45 ซึ่งการปรับตัวลงสะท้อนถึงความผันผวนของการลงทุนในช่วงระหว่างปี 2565 ของตลาดหุ้นไทยได้ค่อนข้างดี ขณะที่ภาพรวม ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งในเดือนธันวาคม 2565 หลังจีนประกาศเปิดประเทศ หนุนการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศ

หากพิจารณาผลตอบแทนของหุ้นในแต่ละกลุ่ม กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดสูงที่สุดจะเป็น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (Electonics) ปรับตัวขึ้นร้อยละ 57.44 นำโดยหุ้น DELTA ที่ปรับตัวขึ้นร้อยละ 101.46 ขณะที่กลุ่มรองลงมาจะเป็นกลุ่มท่องเที่ยว (Tourism) ปรับตัวขึ้นร้อยละ 36.28 โดยได้รับประโยชน์จากการประกาศยกเลิกมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด19 รวมถึงการเปิดประเทศของจีน กลุ่มถัดมาจะเป็นกลุ่มการแพทย์ (Healthcare) ปรับตัวขึ้นร้อยละ 25.25 ถัดมา กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Property) ปรับขึ้นร้อยละ 13.69 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการเร่งโอนโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม หลังไม่มีการต่อมาตรการผ่อนคลาย LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย และกลุ่มขนส่ง (Transportation) ปรับขึ้นร้อยละ 11.75 ขณะที่กลุ่มที่ทำผลงานได้แย่กว่าตลาดจะเป็นกลุ่มของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ (Person) ปรับตัวลงร้อยละ 51.52 กลุ่มวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร (IMM) ปรับตัวลงร้อยละ 39.07 กลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ (Steel) ปรับตัวลงร้อยละ 23.66 และกลุ่มธุรกิจการเกษตร (Agriculture) ปรับตัวลงร้อยละ 20.41

นักลงทุนต่างชาติเป็นเพียงนักลงทุนกลุ่มเดียวที่มีการซื้อสุทธิในปี 2565 โดยมีการซื้อสุทธิในหุ้นไทย 202 พันล้านบาท ขณะที่นักลงทุนที่ขายสุทธิจะเป็น นักลงทุนสถาบันในประเทศ และ นักลงทุนภายในประเทศ ที่มีการขายสุทธิ 153 พันล้านบาท และ 45 พันล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ภาพรวม นักลงทุนต่างชาติสามารถดูดซับแรงขายจากนักลงทุนในประเทศ และช่วยหนุนให้ตลาดสามารถปรับตัวขึ้นได้ในปีที่ผ่านมา

ผลการดำเนินงาน ปี 2565

แม้ว่าธุรกิจจำนวนมากได้รับผลกระทบจากการระบาดใหญ่และรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองต่อมาตรการเข้มงวดที่เกิดจากการระบาดใหญ่ แต่เราโชคดีที่ธุรกิจหลักทรัพย์กลับได้รับผลกระทบในทางลบไม่มาก และเราก็สามารถได้รับประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้น สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการลงทุนของเราในการพัฒนาเทคโนโลยีการซื้อขายตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้การซื้อขายสามารถทำได้บนอุปกรณ์ที่หลากหลายทุกที่ทุกเวลา ความสนใจในการซื้อขายหุ้นและหุ้นเพิ่มขึ้นเมื่อนักลงทุนรับรู้ถึงศักยภาพจากการซื้อขายในตลาดหุ้นในปี 2564 เราสามารถได้รับประโยชน์จากจำนวนนักลงทุนที่เปิดบัญชีซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมากกับเรา

มูลค่าการซื้อขายลดลงจาก 1,206,932 ล้านบาท ในปี 2564 เป็น 748,216 ล้านบาท ในปี 2565 กำไรสุทธิลดลงระหว่างปีจาก 381,045,224 บาท เป็น 217,211,672 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทไม่น้อยกว่าอัตราร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษี และเงินปันผลสำหรับงวดปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ในอัตรา 0.09 บาทต่อหุ้นจะเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติต่อไป

ความผันผวนของตลาดหุ้นที่เกิดจากการระบาดใหญ่ได้ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อธุรกิจของเรา

แนวโน้มตลาดหุ้นและธุรกิจปี 2566

เรามีมุมมองว่าหุ้นไทยปี 2566 จะมีความเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างแตกต่างกัน โดยคาดในครึ่งปีแรกจะมีความเคลื่อนไหวที่ดีที่มีแรงหนุนมาจากโมเมนตัมของการเปิดเมือง ขณะที่ครึ่งหลังจะมีความน่าสนใจในการลงทุนที่น้อยกว่า

มุมมองเชิงบวกต่อภาพการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรก มาจากเรื่องเชื่อว่าเศรษฐกิจจะได้รับแรงผลักดันจาก 1) โมเมนตัมของการฟื้นตัวจากการเปิดเมืองที่ยังปรับดีขึ้น 2) การเปิดประเทศของจีน และการเข้ามาของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ 3) การปรับลดลงของต้นทุน ทั้งจากราคาพลังงานและเงินเฟ้อที่ลดลง ซึ่งจะช่วยผลักดันผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน 4) การเดินหน้าสู่การเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งหนุนบรรยากาศของการใช้จ่ายและความเชื่อมั่นผู้บริโภค และ 5) ผลกระทบของเศรษฐกิจถดถอยในยุโรปที่อยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ความเสี่ยงของการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีนี้ อยู่ในระดับที่ลดลง

อย่างไรก็ตาม เรามีมุมมองต่อการลงทุนในตลาดหุ้นที่ระมัดระวังมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมีสาเหตุมาจาก 1) การเปิดประเทศของจีนที่น่าจะเริ่มเข้าสู่ระดับฟื้นตัวเต็มที่ อาจจะผลักดันราคาน้ำมันดิบและสินค้าโภคภัณฑ์ให้ปรับสูงขึ้น ซึ่งจะกลับไปกระตุ้นการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อ 2) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่เข้าสู่ช่วยท้ายของวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ย มีโอกาสเหนี่ยวนำให้เงินลงทุนเคลื่อนย้ายจากหุ้น เข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ และ 3) ความเสี่ยงที่นักลงทุนอาจปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย และจัดสรรน้ำหนักการลงทุนที่มากขึ้นไปยังจีนและยุโรป หลังเศรษฐกิจมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น

เราคาดว่ามูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในปี 2566 มีโอกาสชะลอตัวลงจากปัจจัยภายนอกที่กดดัน โดยเฉพาะจากการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสำคัญของโลกยังน่าจะเห็นการขึ้นดอกเบี้ยและนโยบายการเงินตึงตัว ซึ่งจะยังเป็นปัจจัยกดดันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและสินทรัพย์เสี่ยง

ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศมีความท้าทายมากขึ้น โดยแม้เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและภาคบริการ รวมถึงการเลือกตั้งทั่วไปที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงพฤษภาคม 2566 ซึ่งส่งผลบวกต่อการฟื้นตัวของการบริโภคโดยเฉพาะในครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตามขั้นตอนการจัดตั้งรัฐบาลที่ยาวนาน ทำให้คาดว่าการตั้งคณะรัฐมนตรีจะแล้วเสร็จในช่วงสิงหาคม 2566 อาจทำให้เกิดความล่าช้าของงบประมาณ ซึ่งจะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2566ถึงต้นปี 2567

นอกจากนี้ ปัญหาเกี่ยวกับการซื้อขายที่ผิดปกติ และการชำระราคาหลักทรัพย์ของบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) ที่เกิดขึ้นในช่วงพฤศจิกายน 2565 ซึ่งบริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากธุรกรรมดังกล่าว อย่างไรก็ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง กระทบต่อฐานเงินทุนของหลายบริษัท ส่งผลให้บริษัทหลักทรัพย์น่าจะต้องจำกัด และเพิ่มความระมัดระวังในการทำธุรกรรมซื้อหลักทรัพย์ ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบต่อการเติบโต ทั้งนี้ปัจจุบันคดีดังกล่าวอยู่ในการสืบสวนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)

ปัจจัยเสี่ยงทางธุรกิจที่สำคัญอีกประการคือการเก็บภาษีขายหุ้น โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อ 29 พฤษจิกายน 2565 เห็นชอบร่างกฎหมายจัดเก็บภาษีธุรกรรมทางการเงิน สำหรับหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการกลับมาจัดเก็บภาษีธุรกรรมทางการเงินหลังได้รับการยกเว้นมากว่า 30 ปี ทั้งนี้อัตราภาษีที่จะจัดเก็บอยู่ในระดับใกล้เคียงกับอัตราค่าธรรมเนียมการซื้อขายเฉลี่ย ซึ่งจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้ลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงอาจกระทบต่ออุปสงค์ในการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยสภาธุรกิจตลาดทุน (FETCO) ประเมินอาจส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายหายไปร้อยละ 30-40 ปัจจุบันร่างกฎหมายดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการร่างโดยกระทรวงการคลัง

คำขอบคุณ

ที่ผ่านมาเป็นปีที่ดีมากสำหรับ ยูโอบี เคย์เฮียน ประเทศไทย สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากความทุ่มเทและการทำงานหนักของพนักงานและทีมผู้บริหาร และความไว้วางใจจากลูกค้าและผู้ถือหุ้นของเรา ในนามของคณะกรรมการ ผมขอขอบคุณผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเราสำหรับความช่วยเหลือของพวกเขา และเราหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากพวกเขา และขอขอบคุณคณะกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานที่ให้การสนับสนุนตลอดหลายปีที่ผ่านมา

นายวิโรจน์ ตั้งเจตนาพร
ประธานกรรมการ
บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน ( ประเทศไทย ) จำกัด (มหาชน)

-

วิสัยทัศน์ วัตถุประสงค์ เป้าหมายหรือกลยุทธ์ในการดำเนินงาน

วิสัยทัศน์ : ตัวแทนทางการเงินที่เชื่อถือได้ของคุณ “Your trusted financial partner”

ค่านิยม : ลงทุนเพื่อการเจริญเติบโต “Investing for Growth”

พันธกิจ : มุ่งให้บริการเพื่อความสำเร็จทางการเงินอย่างต่อเนื่อง สู่ผู้นำในธุรกิจหลักทรัพย์ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียได้รับความพึงพอใจสูงสุด

วัตถุประสงค์ และเป้าหมาย :
  • - การให้บริการที่มีคุณภาพสูงสุด
  • - ติดต่อกับลูกค้าอย่างมืออาชีพ ให้บริการถูกต้องตรงเวลา
  • - พัฒนาทักษะและความเป็นมืออาชีพของพนักงาน
  • - ปฏิบัติหน้าที่โดยมีความรับผิดชอบต่อสังคม

กลยุทธ์ในการดำเนินงาน : บริษัทฯ มุ่งให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตรูปแบบใหม่ ภายใต้ชื่อ UTRADE โดยมุ่งมั่นที่จะพัฒนาระบบ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า สามารถใช้งานง่ายพร้อมกับสรรหาเครื่องมือ บทวิเคราะห์ และการจัดอบรมสัมมนาอย่างมีคุณภาพ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแสวงหากำไรด้วยเครื่องมือที่ใช้งานง่าย และลูกค้ายังสามารถรับทราบข้อมูลเพิ่มเติมในเชิงลึกทั้งแนวโน้มตลาดและโอกาสในการลงทุนจากนักวิเคราะห์มืออาชีพผ่านมุมมองที่หลากหลายและเป็นสากลโดยบริษัทฯ มุ่งเน้นที่จะเสริมสร้างความรู้และพัฒนาแนวคิด มุมมองความเป็นไปได้ในด้านการลงทุนให้กับลูกค้า และบุคคลทั่วไปผู้ที่สนใจเกี่ยวกับการลงทุน บริษัทฯ มีการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมที่เป็นธรรมและเหมาะสม พร้อมกับจัดเตรียมเครื่องมือ บทวิเคราะห์ และการนำเสนอแหล่งความรู้ให้แก่นักลงทุน

นโยบายและภาพรวมการประกอบธุรกิจ

        บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) เดิมชื่อ บริษัทหลักทรัพย์ มหาสมุทร จํากัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2541 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 250 ล้านบาท การจัดตั้งบริษัทเป็นผลมาจากการแยกการประกอบธุรกิจเงินทุนและธุรกิจหลักทรัพย์ออกจากกันของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ มหาสมุทร จำกัด บริษัทฯ รับโอนสินทรัพย์และหนี้สินที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักทรัพย์ รวมทั้งสมาชิกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หมายเลข 26 จากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ มหาสมุทร จํากัด และได้รับความเห็นชอบจากสํานักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. โดยเริ่มประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

        ในปี 2543 บริษัทหลักทรัพย์ มหาสมุทร จํากัด จำหน่ายหุ้นให้ทาง ยูไนเต็ด อินเวสเมนท์ ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม ยูโอบี ที่ประเทศสิงคโปร์ และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี (ประเทศไทย) จํากัด ต่อมามีการรวมตัวกันทางธุรกิจระหว่างกลุ่มธนาคารยูโอบี กับ กลุ่ม เคย์เฮียน โฮลดิ้งส์ เป็น ยูโอบี-เคย์เฮียน โฮลดิ้งส์ ลิมิเต็ด ทำให้ในปี 2544 มีการปรับโครงสร้างการถือหุ้นใหม่โดย ยูไนเต็ด อินเวสเมนท์ ลิมิเต็ด ได้ขายหุ้นที่ถือทั้งหมดให้กับ ยูโอบี-เคย์เฮียน โฮลดิ้งส์ ลิมิเต็ด ทำให้ ยูโอบี-เคย์เฮียน โฮลดิ้งส์ ลิมิเต็ด ถือหุ้นในบริษัทฯ ร้อยละ 99.99 ของหุ้นที่จําหน่ายได้ทั้งหมด และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จํากัด หลังจากนั้นในปีเดียวกัน บริษัทฯ ได้ซื้อธุรกิจรายย่อยจากบริษัทหลักทรัพย์ บีเอ็นพี พาริบาส์ พีรีกรีน (ประเทศไทย) จำกัด โดยชำระเป็นเงินสด พร้อมทั้งรับโอนลูกหนี้และเจ้าหน้าที่การตลาด และในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2548 บริษัทฯ ได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนโดยใช้ชื่อว่า บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

         ทั้งนี้ ยูโอบี-เคย์เฮียน โฮลดิ้งส์ ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทแม่ เป็นบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนโดยมีบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดในสิงคโปร์ มีสำนักงานในประเทศฮ่องกง มาเลเซีย ลอนดอน นิวยอร์ก จาการ์ต้า เซี่ยงไฮ้ และมะนิลา นอกจากนี้ยังเป็นบริษัทในเครือของยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์ แบงค์ ที่เป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ในสิงคโปร์ มีสาขาในประเทศไทย คือ ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) จากความสัมพันธ์และเครือข่ายที่กว้างขวางดังกล่าวทำให้บริษัทฯ สามารถขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศได้อย่างกว้างขวาง

        บริษัทฯ ยังได้รับการถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ และความช่วยเหลือในการดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์จากบริษัทในกลุ่มอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการทำสัญญาการให้บริการ (Service Agreement) กับ ยูโอบี เคย์เฮียน ไพรเวท ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ยูโอบี-เคย์เฮียน โฮลดิ้งส์ ลิมิเต็ด โดยการให้บริการครอบคลุมด้านต่างๆ หลายด้าน (รายละเอียดของสัญญาให้บริการและค่าธรรมเนียมการให้บริการสามารถดูได้ใน รายการระหว่างกัน) จากที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน บริษัทฯ ได้รับความช่วยเหลือตามสัญญาให้บริการ เช่น ให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้สามารถเชื่อมโยงเป็นระบบเดียวกันภายในกลุ่มยูโอบี เคย์เฮียน ช่วยแนะนำในการติดตั้งระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ รวมทั้งพัฒนาระบบต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมาอย่างต่อเนื่อง การจัดให้มีระบบการบริหารความเสี่ยง

ปี 2548

        ตั้งแต่ปี 2548 บริษัทฯ ยังได้รับการสนับสนุนทางด้านการตลาดและการดำเนินโครงการ Cross Selling ทำให้บริษัทฯ สามารถขยายการให้บริการทางด้านนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์แก่ลูกค้าได้เพิ่มขึ้นจากการแนะนำลูกค้าผ่านบริษัทในกลุ่ม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรร่วมกันกับบริษัทในกลุ่ม เช่น การใช้ข้อมูลต่างๆ ร่วมกันในงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ รวมถึงการให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงบทความวิเคราะห์หลักทรัพย์และสภาวะตลาดในต่างประเทศที่จัดทำขึ้นโดยบริษัทในกลุ่มเพื่อพัฒนางานวิจัยของบริษัทฯ

ปี 2553

        ปี 2553 บริษัทฯ รับโอนธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Brokerage Business) จากบริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นการรับโอนทรัพย์สินและผลประโยชน์ต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ โดยบริษัทฯ ได้ออกและจัดสรรหุ้นสามัญที่ออกใหม่ให้แก่บริษัทหลักทรัพย์เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจของบริษัทฯ

ปี 2554

        ปี 2554 บริษัทฯ รับโอนธุรกิจหลักทรัพย์จากบริษัทหลักทรัพย์ ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน) (“ยูไนเต็ด”) ซึ่งรวมถึง สิทธิ ประโยชน์และผลประโยชน์ที่จะได้มา จะจ้าง หรือจะทำสัญญา เกี่ยวกับการให้บริการเป็นการเฉพาะของที่ปรึกษาการลงทุน ทรัพย์สินใด สิทธิการเช่าที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักทรัพย์ ทรัพย์สินในรูปของเงินสด ลูกหนี้การค้า และหนี้สินอื่นๆ แต่ไม่รวมถึงหนี้สินและภาระผูกพันของยูไนเต็ด ก่อนการซื้อขายสินทรัพย์ของยูไนเต็ด (“การรับโอนธุรกิจ”)

ปี 2556

        ปี 2556 บริษัทฯ ได้จำหน่ายไปซึ่งเงินลงทุนทั้งหมดในหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์ ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน)

ปี 2559

        บริษัทฯ ขยายธุรกิจรายย่อยโดยการทำสัญญาซื้อขายสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์สำหรับลูกค้ารายย่อยบางส่วน จากบริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งสินทรัพย์ดังกล่าวรวมถึงที่ปรึกษาการลงทุนและสำนักงานสาขา 21 แห่ง

ปี 2561

        บริษัทฯ ทำสัญญาซื้อขายสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์สำหรับลูกค้ารายย่อยบางส่วนจากบริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) ซึ่งสินทรัพย์ดังกล่าวรวมถึงที่ปรึกษาการลงทุน และสำนักงานสาขา 6 แห่ง และบริษัทฯ ได้รับความเห็นชอบให้เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อเป็นช่องทางในการเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทฯ

โครงสร้างเงินทุน

        บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 เป็นเงิน 502,448,570 บาท และทุนชำระแล้วเป็นเงิน 502,448,570 บาท (หุ้นสามัญจำนวน 502,448,570 หุ้น มีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท)

ผู้ถือหุ้น

        ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 บริษัทฯ มีผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ ยูโอบี - เคย์เฮียน โฮลดิ้งส์ ลิมิเต็ดถือหุ้นสัดส่วนร้อยละ 70.65 โดยมีรายละเอียดการถือหุ้นดังนี้

ลำดับ รายชื่อ จำนวนหุ้นที่ถือ (หุ้น) ร้อยละ
1. ยูโอบี-เคย์เฮียน โฮลดิ้งส์ ลิมิเต็ด 355,000,000 70.654
2. ยูโอบี เคย์เฮียน ไพรเวท ลิมิเต็ด 83,547,734 16.628
3. นายโสภณ มิตรพันธ์พานิชย์ 24,246,448 4.826
4. นายวชิระ ทยานาราพร 9,915,000 1.973
5. UOB KAY HIAN (HONG KONG) LIMITED –
Client Account
3,195,000 0.636
6. นายศิรประเสริฐ จีระพรประภา 2,035,900 0.405
7. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 1,474,754 0.294
8. นางเนาวรัตน์ พินิจกุศลจิต 1,450,000 0.289
9. นางสาวอัญชนา พินิจกุศลจิต 1,400,000 0.279
10. นายอัศกุล ดวงโกศล 900,000 0.178
รวม 483,164,836 96.162

        ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ยูโอบี-เคย์เฮียน โฮลดิ้งส์ ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ มีทุนชำระแล้วจำนวน 292,064,654 เหรียญสิงคโปร์ หรือ 888,015,427 หุ้น มีรายละเอียดการถือหุ้นดังนี้

รายชื่อผู้ถือหุ้น 10 อันดับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ร้อยละ จำนวนหุ้นที่ถือ
ไท่ หัว นอมินีส์ ไพรเวท ลิมิเต็ด 313,360,043 35.39
ยูโอบี เคย์เฮียน ไพรเวท ลิมิเต็ด 106,038,632 11.98
ยู.ไอ.พี โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด 98,306,346 11.10
นายตัง วี ล็อค 40,217,504 4.54
ซิตี้แบงค์ นอมินีส์ สิงคโปร์ ไพรเวท ลิมิเต็ด 22,789,537 2.57
รัฟเฟิลส์ นอมินีส์ (ไพรเวท) ลิมิเต็ด 14,861,483 1.68
ดีบีเอส นอมินีส์ ไพรเวท ลิมิเต็ด 14,551,944 1.64
ยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์แบงค์ นอมินีส์ ไพรเวท ลิมิเต็ด 10,597,630 1.20
ลิ้ม แอนด์ ตัน ซีเคียวริตี้ส์ ไพรเวท ลิมิตเต็ด 9,919,440 1.22
โอ ซี บี ซี นอมินีส์ สิงคโปร์ ไพรเวท ลิมิตเต็ด 5,311,233 0.60
รวม 10 อันดับแรก 635,953,792 71.82
อื่นๆ 154,578,169 17.90
รวม 888,015,427 100.00

ข้อบังคับ

บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

-

แบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (56-1)

แบบฟอร์ม56-1

แบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี / รายงานประจำปี 2565

แบบฟอร์ม56-1

แบบฟอร์ม 56-1 ปี 2564

แบบฟอร์ม56-1

แบบฟอร์ม 56-1 ปี 2563

แบบฟอร์ม56-1

แบบฟอร์ม 56-1 ปี 2562

แบบฟอร์ม56-1

แบบฟอร์ม 56-1 ปี 2561

แบบฟอร์ม56-1

แบบฟอร์ม 56-1 ปี 2560

แบบฟอร์ม56-1

แบบฟอร์ม 56-1 ปี 2559

แบบฟอร์ม56-1

แบบฟอร์ม 56-1 ปี 2558

แบบฟอร์ม56-1

แบบฟอร์ม 56-1 ปี 2557

รายงานงบประจำปี

บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

-

นโยบายการกํากับดูแลบริษัทที่ดี

บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

คณะกรรมการบริษัทหลักทรั พข์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีเจตนารมณ์ที่จะดำเนินธุรกิจ อย่างมีประสิทธิภาพ มีการกำกับดูแลกิจการและการบริหารจัดการที่ดีเลิศ โคขมุ่งสร้างประ โขชน์ให้แก่ผู้ถือหุ้นและผู้มี ส่วนได้เสีย มีคุณธรรมในการดำเนินธุรกิจ มีความโปร่งใส และตรวจสอบได้ จึงได้กำหนดน โยบายการกำกับดูแลกิจการ ที่ดี เพื่อให้คณะกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน ยึดถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ดังนี้

1. บทบาทและความรับผิดชอบของคณะกรรมการผู้นำที่สร้างคุณค่าให้แก่บริษัทอย่างยั่งยืน
     1.1 คณะกรรมการเข้าใจบทบาทและตระหนักถึงความรับผิดชอบในฐานะผู้นำที่ต้องกำกับดูแลให้องค์กรมีการ บริหารจัดการที่ดี มีการกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย การกำหนดกลยุทธ์ นโยบายการดำเนินงาน ตลอดจนการ จัดสรรทรัพยากรสำคัญเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย และมีการติดตาม ประเมินผล และดูแลการรายงานผล การดำเนินงาน
      1.2 การสร้างคุณค่าให้แก่บริษัทอย่างยั่งยืน คณะกรรมการกำกับดูแลบริษัทให้นำไปสู่ผล ดังต่อไปนี้
                (1) สามารถแข่งขันได้และมีผลประกอบการที่ดีโดยคำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว
                (2) ประกอบธุรกิจอย่างมีจริยธรรม เคารพสิทธิและมีความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสีย
                (3) เป็นประโยชน์ต่อสังคม และพัฒนาหรือลดผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อม
                (4) สามารถปรับตัวได้ภายใต้ปัจจัยการเปลี่ยนแปลง
      1.3 คณะกรรมการมีหน้าที่ดูแลให้กรรมการทุกคนและผู้บริหารปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ระมัดระวัง และชื่อสัตย์สุจริตต่อองค์กร และดูแลให้การดำเนินงานเป็นไปตามกฎหมาย ข้อบังคับ และมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น
      1.4 คณะกรรมการเข้าใจขอบเขตหน้าที่และความรับผิดชอบของคณะกรรมการ และกำหนดขอบเขตการ มอบหมายหน้าที่และความรับผิดชอบให้ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและฝ่ายจัดการอย่างชัดเจน ตลอดจนติดตามดูแลให้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและฝ่ายจัดการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย

2. กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของบริษัทเป็นไปเพื่อความยั่งยืน
     2.1 คณะกรรมการกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่สอดคล้องกับการสร้างคุณค่าให้ทั้งบริษัท ลูกค้า ผู้มีส่วน ได้เสียและสังคมโดยรวม
     2.2 คณะกรรมการกำกับดูแลให้มั่นใจว่า วัตถุประสงค์และเป้าหมาย ตลอดจนกลยุทธ์ของบริษัทสอดคล้องกับ การบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายหลักของบริษัท โดยมีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้อย่างเหมาะสม ปลอดภัย

3. เสริมสร้างคณะกรรมการที่มีประสิทธิผลs
3.1 คณะกรรมการรับผิดชอบในการกำหนดและทบทวนโครงสร้างคณะกรรมการ ทั้งในเรื่องขนาด องค์ประกอบ สัดส่วนกรรมการที่เป็นอิสระที่เหมาะสมและจำเป็นต่อการนำพาองค์กรสู่วัตถุประสงค์และเป้าหมายหลัก ที่กำหนดไว้
     3.2 คณะกรรมการเลือกบุคคลที่เหมาะสมเป็นประธานกรรมการ และดูแลให้มั่นใจว่า องค์ประกอบและการ ดำเนินงานของคณะกรรมการเอื้อต่อการใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจอย่างมีอิสระ
      3.3 การสรรหาและคัดเลือกกรรมการมีกระบวนการที่โปร่งใสและชัดเจน เพื่อให้ได้คณะกรรมการที่มีคุณสมบัติ สอดคล้องกับองค์ประกอบที่กำหนดไว้
      3.4 ในการเสนอค่าตอบแทนคณะกรรมการให้ผู้ถือหุ้นอนุมัติ โครงสร้างและอัตร าค่าตอบแทนมีความเหมาะสม กับความรับผิดชอบและจูงใจให้คณะกรรมการนำพาองค์กรให้ดำเนินงานตามเป้าหมายทั้งระยะสั้นและระยะยาว
      3.5 กรรมการทุกคนมีความรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่และจัดสรรเวลาอย่างเพียงพอ
      3.6 คณะกรรมการกำกับดูแลให้มีกรอบและกลไกในการกำกับดูแลน โขบายและการดำเนินงานของบริษัทที่ บริษัทไปลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ ในระดับที่เหมาะสมกับบริษัท
      3.7 คณะกรรมการมีการประเมินผลการ ปฏิบัติหน้าที่ประจำปีของคณะกรรมการ
     3.8 คณะกรรมการและกรรมการแต่ละคนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ ลักษณะการประกอบธุรกิจ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ ตลอดจนสนับสนุนให้กรรมการทุกคนได้รับการเสริมสร้างทักษะและ ความรู้สำหรับการปฏิบัติหน้าที่กรรมการอย่างสม่ำเสมอ
     3.9 การดำเนินงานของคณะกรรมการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สามาร ถข้าถึงข้อมูลที่จำเป็น และมีเลขานุการ บริษัทที่มีความรู้และประสบการ ณ์ที่จำเป็นและเหมาะสมต่อการสนับสนุนการ ดำเนินงานของคณะกรรมการ

4. สรรหาและพัฒนาผู้บริหารระดับสูงและการบริหารบุคลากร
      4.1 คณะกรรมการมีการสรรหาและพัฒนาประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้บริหารระดับสูงให้มีความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และคุณลักษณะที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมาย
      4.2 คณะกรรมการกำกับดูแลให้มีการกำหนดโครงสร้างค่าตอบแทนและการประเมินผลที่เหมาะสม
      4.3 คณะกรรมการเข้าใจโครงสร้างและความสัมพันธ์ของผู้ถือหุ้นที่อาจมีผลกระทบต่อการบริหารและการ ดำเนินงานของบริษัท
     4.4 คณะกรรมการติดตามดูแลการบริหารและ พัฒนาบุคลากรให้มีจำนวน ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และ แรงจูงใจที่เหมาะสม

ส่งเสริมนวัตกรรมและการประกอบธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ
     5.1 คณะกรรมการให้ความสำคัญและสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมที่ก่อให้เกิดมูลค่าแก่ธุรกิจควบคู่ไปกับการ สร้างคุณประ โยชน์ต่อลูกค้าหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง และมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
      5.2 คณะกรรมการติดตามดูแลให้ฝ่ายจัดการประกอบธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมและ สะท้อนอยู่ในแผนดำเนินการเพื่อให้มั่นใจได้ว่า ทุกฝ่ายขององค์กรได้ดำเนินการสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ เป้าหมาย หลัก และแผนกลยุทธ์ของบริษัท
      5.3 คณะกรรมการติดตามดูแลให้ฝ่ายจัดการจัดสรรและจัดการทรัพยากรให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล โดยคำนึงถึงผลกระทบและการพัฒนาทรัพยากรตลอดสายเพื่อให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย หลักได้อย่างยั่งยืน
      5.4 คณะกรรมการจัดให้มีกรอบการกำกับดูแลและการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศระดับองค์กรที่ สอดคล้องกับความต้องการของบริษัท รวมทั้งดูแลให้มีการนำเทคโน โลยีสารสนเทศมาใช้ในการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และพัฒนาการดำเนินงาน การบริหารความเสี่ยง เพื่อให้บริษัทสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ และเป้าห มายหลักของบริษัท

6. ดูแลให้มีระบบการบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายในที่เหมาะสม
      6.1 คณะกรรมการกำกับดูแลให้มั่นใจว่า บริษัทมีระบบการบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายในที่จะทำให้ บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิผล และมีการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย และมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง
      6.2 คณะกรรมการต้องจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและอิสระ
      6.3 คณะกรรมการติดตามดูแลและจัดการความขัดแย้งของผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น ได้ระหว่างบริษัทกับ ฝ่าย
จัดการ คณะกรรมการ หรือผู้ถือหุ้น รวมไปถึงการป้องกันการใช้ประโยชน์อันมิควรในทรัพย์สิน ข้อมูลและโอกาสของ บริษัท และการทำธุรกรรมกับผู้ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกับบริษัทในลักษณะที่ไม่สมควร
      6.4 คณะกรรมการกำกับดูแลให้มีการจัดทำน โขบายและแนวปฏิบัติด้านการต่อต้านคอร์รัปชันที่ชัดเจน และ สื่อสารในทุกระดับขององค์กรและต่อคนนอกเพื่อให้เกิดการนำไปปฏิบัติได้จริง
      6.5 คณะกรรมการกำกับดูแลให้บริษัทมีกลไกในการรับเรื่องร้องเรียนและการดำเนินการกรณีมีการชี้เบาะแส

7. รักษาความน่าเชื่อถือทางการเงินและการเปิ ดเผยข้อมูล
      7.1 คณะกรรมการมีความรับผิดชอบในการดูแลให้ระบบการจัดทำรายงานทางการเงินและการเปิดเผยข้อมูล สำคัญต่าง ๆ ถูกต้อง เพียงพอ ทันเวลา เป็นไปตามกฎเกณฑ์มาตรฐาน และแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง
      7.2 คณะกรรมการติดตามดูแลความเพียงพอของสภาพคล่องทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้
      7.3 ในภาวะที่บริษัทประสบปัญหาทางการเงินหรือมีแนวโน้มจะประสบปัญหา คณะกรรมการบริษัทมีแผนใน การแก้ไขปัญหา หรือมีกลไกอื่นที่จะสามารถแก้ไขปัญหาทางการเงินได้ ทั้งนี้ ภายใต้การคำนึงถึงสิทธิของผู้มีส่วนได้เสีย
      7.4 คณะกรรมการพิจารณาจัดทำร้ายงานความยั่งยืนตามความเหมาะสม
      7.5 คณะกรรมการกำกับดูแลให้ฝ่ายจัดการจัดให้มีหน่วยงานหรือผู้รับผิดชอบงานนักลงทุนสัมพันธ์ ที่ทำหน้าที่ ในการสื่อสารกับผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียอื่น เช่น นักลงทุน นักวิเคราะ ห์ ให้เป็นไปอย่างเหมาะ สม เท่าเทียมกัน และ ทันเวลา
      7.6 คณะกรรมการส่งเสริมให้มีการนำเทค โนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการเผยแพร่ข้อมูล

8. สนับสนุนการมีส่วนร่วมและการสื่อสารกับผู้ถือหุ้น
      8.1 ผู้ถือหุ้นมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในเรื่องสำคัญของบริษัท
      8.2 การดำเนินการในวันประชุมผู้ถือหุ้นเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และเอื้อให้ผู้ถือหุ้น สามารถใช้สิทธิของตน
      8.3 การเปิดเผยมติที่ประชุมและการจัดทำรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นเป็นไปอย่างถูกต้องและครบถ้วน

ปี 2564

นโยบายการบริหารความเสี่ยง

บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

บทนํา

    การรับความเสี่ยงเป็นส่วนหนึ่งในพฤติกรรมการลงทุน จุดประสงค์ของการบริหารความเสี่ยงนั้น ไม่ใช่เพื่อการลดความเสี่ยงออกไปทั้งหมด แต่เป็นกระบวนการในการบริหารเพื่อให้มั่นใจว่าแต่ละ หน่วยงานทราบถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องและจัดให้มีวิธีการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม นอกจากนั้น ผู้บริหารจะใช้ความรู้ความเข้าใจในความเสี่ขงเหล่านี้ในการตัดสินใจทางธุรกิจ

    จุดประสงค์ของน โยบายการบริหารความเสี่ยง คือ การสื่อสารให้ทุกหน่วยงานเข้าใจกรอบการ บริหารความเสี่ยง และแนวทางในการบริหารความสี่ขงให้อยู่ในระดับที่ขอมรับได้ เพื่อให้มั่นใจว่าแต่ละ หน่วยงานมีการระบุความเสี่ยง การประเมินความเสี่ยง การรายงานความเสี่ยง การควบคุมความเสี่ยง และ การติดตามความเสี่ยงที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน

นโยบายการบริหารความเสี่ยง

    บริษัทฯ เชื่อว่าการบริหารความเสี่ยงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักที่จะช่วยให้บริษัทฯ บรรลุเป้าหมายได้ บริษัทฯ มีการดูแลให้แต่ละหน่วยงานปฏิบัติตามกรอบการบริหารความเสี่ยงของบริษัทฯ ในการจัดการกับ ความเสี่ยงอย่างเหมาะสม โดยมีการระบุ ติดตาม และรายงานความเสี่ยงต่อผู้บริหาร เพื่อจะได้จัดให้มีการ ควบคุมความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะได้ตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างถูกต้อง

    บริษัทฯ กำหนดนโขบายการบริหารความเสี่ยงโดยให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ กฎหมาย และความถูกต้องของการรายงานงบการเงิน ไม่ว่าจะในระดับบริษัทฯ เอง หรือในระดับหน่วยงาน นอกจากนี้ แนวทางบริหารความเสี่ยง ยังได้ทำควบคู่ไปกับการกำกับดูแลกิจการแลระบบการควบคุมภายใน ที่ดีของบริษัทฯ

    บริษัทฯ ใช้วิธีการบริหารความเสี่ยงโดย คณะกรรมการบริหารความเสี่ยงเป็นผู้ดูแลแลรับผิดชอบ ความเสี่ยงจากระดับบนลงล่าง โดยมีบทบาทหน้าที่ในการ

    ก) กำหนดนโยบายและกรอบการบริหารความเสี่ยง
    ข) ประเมินความเหมาะสมของน โบายและกรอบการบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ และ
    ค) ดูแลให้มีการนำนโขบายกรบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายในไปปฏิบัติจริงและเพื่อที่จะ สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการบริหารความเสี่ยงนี้ได้

    คณะกรรมการตรวจสอบ มีบทบาทหน้าที่ในการประเมินความพอเพียงของน โยบายการบริหาร ความเสี่ยงและให้คำแนะนำต่อกณะกรรมการบริษัทและฝ่ายบริหาร

    ศูนย์กลางการบริหารความเสี่ยงของบริษัทฯ คือ คณะกรรมการบริหาร โดยคณะกรรมการบริหารมี บทบาทหน้าที่ในการติดตามและควบคุมความเสี่ยงหลักและปัจจัยต่างๆ ที่อาจจะส่งผลกระทบอย่างมี นัยสำคัญต่อบริษัทฯ คณะกรรมการบริหารเป็นศูนย์รวมการบริหารความเสี่ยงเพราะมีศักยภาพในการเข้าถึง ทุกหน่วยงานภายในบริษัท

    พนักงานทุกคนในบริษัทฯ ได้รับการส่งเสริมให้ตระหนักถึงความรับผิดชอบของตนซึ่งอาจส่งผล กระทบต่อบริษัทฯ โดยรวม ทั้งนี้ วิธีการบริหารความเสี่ยงจากระดับล่างขึ้นบน คือการที่บริษัทฯ มอบหมาย ให้แต่ละหน่วขงานดำเนินการประเมินความเสี่ยงและเสนอวิธีการจัดการและควบกุมความเสี่ยงเหล่านั้นเอง โดยบริษัทฯ ได้ให้มีการจัดอบรมเพื่อให้ทุกหน่วยงานเข้าใจถึงกระบวนการวิเคราะห์ความเสี่ยงของธุรกิจ ซึ่ง มีวัดถุประสงค์เพื่อช่วยให้แต่ละหน่วขงานเรียนรู้และตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นภายในหน่วยงาน ของตน และสามารถควบคุมและจัดการความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบความเสี่ยงที่แต่ละหน่วยงานยอมรับได้

    นอกจากนั้น คณะกรรมการบริษัทยังได้ตั้งคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง ซึ่งประกอบด้วย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ มีหน้าที่รวบรวมความเสี่ยงของแต่ละหน่วยงานและประเมินความเสี่ยงของบริษัท และขังมีหน้าที่สนับสนุนการดำเนินการตามกรอบการบริหารความเสี่ยง และรายงานต่อคณะกรรมการ บริษัท ทุกปี

    นอกจากบทบาทหน้าที่ในการประเมินความมีประสิทธิภาพและความเชื่อถือได้ของระบบการ ควบคุมภายในแล้วฝ่ายตรวจสอบภายในยังมีบทบาทที่สำคัญในการตรวจสอบกระบวนการ บริหารความ เสี่ยงอย่างเป็นอิสระ

    กรอบการบริหารความเสี่ยงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการบริหาจัดการเชิงกล ยุทธ์ของบริษัทฯ และออกแบบมาเพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทฯ มีการบริหารความเสี่ยงที่เพียงพอและเหมาะสม

    คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติน โยบายบริหารความเสี่ยงและกรอบการบริหารความเสี่ยงของบริษัท ๆ เพื่อให้แต่ละหน่วยงานมีการจัดการและการบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ และเป็นไป ในรูปแบบเดียวกัน นอกจากนั้นยังได้มอบหมายให้กณะกรรมการบริหารติดตามและควบคุมให้แต่ละ หน่วยงานบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบการบริหารความเสี่ยงที่กำหนดไว้

    กรอบการบริหารความเสี่ยงนี้สามารถช่วยในการติดตามเพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจสามารถบรรลุ วัตถุประสงค์ในค้านการรายงานและตรวจสอบตามที่กำหนดไ ว้ สำหรับวัตถุประสงค์ในด้านกลยุทธ์และการ ดำเนินงานซึ่งได้รับผลจากปัจัยภายนอก กรอบการบริหารความเสี่ยงถูกออกแบบเพื่อให้มั่นใจว่าผู้บริหาร และคณะกรรมการบริษัทได้ทราบความคืบหน้าของการดำเนินการของแต่ละหน่วยงานในการปฏิบัติตาม วัตถุประสงค์ต่างๆ

    1. การกำหนดความเสี่ยง เพื่อระบุปัจจัยความไม่แน่นอนซึ่งมีผลกระทบในแง่ลบต่อองค์กร บริษัท ฯ ได้พัฒนาขั้นตอนและวิธีการในการระบุปัจจัยความเสี่ยงซึ่งบริษัทฯ และแต่ละหน่วยงานมี หน้าที่ระบุปัจัขความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นโดยจะมีการตรวจสอบปัจจัยเหล่านี้เป็น ประจำทุกปี นอกจากนี้ บริษัทฯ จะรวบรวมความเสี่ขงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น โดยจะมีการ ตรวจสอบปัจจัยเหล่านี้เป็นประจำทุกปี นอกจากนี้ บริษัทฯ จะรวบรวมความเสี่ยงและ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมความเสี่ยงของกลุ่มบริษัท โดยจะแบ่งประเภทของ ความเสี่ขงออกเป็น 4 ประเกทด้วยกัน คือ ความเสี่ขงค้านกลยุทธ์ ความเสี่ยงค้านการปฏิบัติการ ความเสี่ยงด้านการเงิน และความเสี่ยงค้านการปฏิบัติตาม กฎ ระเบียบ ข้อบังคับและกฎหมาย โดยบริษัทฯ เชื่อว่าการบริหารความเสี่ยงด้วยตนเองนั้นเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด
     2. การประเมินความเสี่ยง บริษัทฯ และแต่ละหน่วยงานได้จัดทำ "แผนผังความเสี่ยง" ขึ้น โคย แผนผังความเสี่ยงนี้จะสรุปความเสี่ยงหลักซึ่งอาจมีผลกระทบต่อเป้าหมายและผลการ ดำเนินงานของบริษัท เช่น ผลประกอบการและการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องของธุรกิจ ความ เสี่ยงที่มีผลกระทบเกินกว่าระดับที่กำหนดไว้ จะถือว่าเป็นความเสี่ยงหลักซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้ จะถูกวิเคราะห์และประมาณการในแง่โอกาสในการเกิดและความร้ายแรงของผลกระทบ
     3. การรายงานความเสี่ยง การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในการรายงานความเสี่ยงนั้นมีความสำคัญ อย่างยิ่งต่อการบริหารความเสี่ยง ซึ่งการกำกับดูแลกิจการที่ดีจะช่วยส่งเสริมกระบวนการ รายงานความเสี่ขงให้มีประสิทธิภาพ บริษัทฯ กำหนดให้แต่ละหน่วยงานจัดทำรายงานเพื่อสรุป ตัวชี้วัดที่จำเป็นต่อการติดตามความเสี่ยงของธุรกิจอย่างสม่ำเสมอ
     4. การควบคุมความเสี่ยง บริษัทฯ และแต่ละหน่วยงานมีการจัดทำขั้นตอนและวิธีการบริหารความ เสี่ยงเพื่อลดหรือควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่กำหนดไว้ สำหรับความเสี่ยงที่ยังสูงกว่า ระดับที่กำหนดไว้แต่ละหน่วยงานจะเสนอมาตรการในการควบคุมความเสี่ยงเพิ่มเติมพร้อมกับ การศึกษาประ โชชน์และค่ใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และปฏิบัติตามมาตรการนั้นเมื่อได้รับอนุมัติจาก คณะกรรมการบริษัท
     5. การติดตามความเสี่ยง การติดตามความเสี่ยงนี้จะเกี่ยวข้องกับทั้งการประเมินความเสี่ยงและการ ประเมินระบบที่ใช้ในการบริหารความเสี่ยง โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้การบริหารความเสี่ยงมี ประสิทธิภาพอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในจะมีการเปลี่ยนแปลงไปก็ตาม โดยแต่ละหน่วยงานจะจัดทำรายงานเพื่อสรุปตัวชี้วัดพร้อมเกณฑ์ที่จะบ่งชี้ว่าธุรกิจได้รับหรือ อาจได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้หรือไม่ เพื่อติดตามและเฝ้าระวัง ความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด กรณีที่ตัวชี้วัดถึงเกณฑ์ที่กำหนด หน่วยงานจะต้องแข้งผู้บริหารเพื่อ จัดการกับความเสี่ยงนั้นทันที นอกจากนั้น แต่ละหน่วยงานจะรายงานการประเมินการบริหาร ความเสี่ยงต่อคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงทุกไตรมาส และคณะกรรมการบริษัทมีหน้าที่ใน การประเมินความน่าเชื่อถือของกระบวนการบริหารความเสี่ยงโดยรวมเป็นประจำทุกปี ผ่าน การประเมินความเพียงพอของระบบควบคุมภายใน

-

หนังสือมอบฉันทะ แบบ ก.

หนังสือมอบฉันทะ แบบ ข.

หนังสือมอบฉันทะ แบบ ค.

ข้อมูลรายบริษัท/หลักทรัพย์

ข่าวสารของ UOBKH : บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับการประชุมผู้ถือหุ้น

บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ( “บริษัทฯ” ) ให้ความสำคัญและเคารพสิทธิในความเป็นส่วนตัวและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในฐานะผู้ถือหุ้น ผู้รับมอบอำนาจ หรือผู้รับมอบฉันทะ โดยได้กำหนดนโยบาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ต่างๆ ในการดำเนินงานของบริษัทฯ ด้วยมาตรการที่เข้มงวดในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้ท่านได้มั่นใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่บริษัทฯ ได้รับจะถูกนำไปใช้ตรงตามความต้องการของท่านและถูกต้องตามกฎหมาย

บริษัทฯ ขอแจ้งให้ท่านในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ทราบถึงวัตถุประสงค์และรายละเอียดของการเก็บรวบรวม ใช้ และ / หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ตลอดจนสิทธิตามกฎหมายของท่านที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล ดังต่อไปนี้

“ข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง ข้อมูลที่ทำให้สามารถระบุตัวตนของท่านได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม

ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทฯ เก็บรวบรวม ใช้ และ / หรือเปิดเผย

บริษัทฯ มีความจำเป็นต้องเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อประโยชน์ในการจัดประชุมผู้ถือหุ้น และการเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น ได้แก่ ชื่อ นามสกุล อายุ วันเดือนปีเกิด เลขประจำตัวประชาชน เลขหนังสือเดินทาง เลขประจำตัวผู้เสียภาษี เลขทะเบียนผู้ถือหลักทรัพย์ เลขที่บัญชีเงินฝาก ข้อมูลการติดต่อ เช่น ที่อยู่อาศัย สถานที่ทำงาน หมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขโทรสาร อีเมล หมายเลขไอพี (IP Address) ข้อมูลการบันทึกเสียง ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และข้อมูลอื่นใดที่ถือว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทฯ จำเป็นต้องขอให้ส่งภาพถ่าย และ / หรือ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของท่านเพื่อใช้ในการยืนยันตัวตน ซึ่งข้อมูลในบัตรประจำตัวประชาชนอาจมีข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อน เช่น ศาสนา ปรากฎอยู่ และโดยที่บริษัทฯ ไม่มีเจตนาในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อนจากท่าน จึงขอความร่วมมือจากท่านปิดทึบข้อมูลในส่วนนั้นก่อนให้สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนแก่บริษัทฯ

วัตถุประสงค์และฐานทางกฎหมายในการเก็บรวบรวม ใช้ และ / หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทฯ จะเก็บรวบรวม ใช้ และ / หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเท่าที่จำเป็นภายใต้วัตถุประสงค์อันชอบด้วยกฎหมาย หรือมีฐานทางกฎหมายรองรับ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย (Legal Obligation) เช่น การเรียกประชุมและการดำเนินการประชุมผู้ถือหุ้น การยืนยันตัวตน การจัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้อง และการดำเนินการใดๆ เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติมหาชน จำกัด พ.ศ. 2535 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายอื่นใดที่เกี่ยวข้อง หรือการดำเนินงานที่จำเป็นภายใต้ประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทฯ หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น (Legitimate Interest) เช่น การจัดทำรายงานการประชุมผู้ถือหุ้น ถ่ายทอดภาพและเสียงสำหรับการประชุม การบันทึกภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวการประชุมเพื่อใช้เป็นหลักฐานของการประชุม การประชาสัมพันธ์ทางสื่อสิ่งพิมพ์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ การรักษาความปลอดภัย รวมถึงเพื่อการอื่นใดที่จำเป็นโดยคำนึงถึงสิทธิขั้นพื้นฐานในข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน และไม่เกินขอบเขตที่ท่านสามารถคาดหมายได้อย่างสมเหตุสมผล

แหล่งที่มาของข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทฯ จะดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจากท่านโดยตรง และ / หรือ อาจเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับจากนายทะเบียนหลักทรัพย์ เช่น บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด เฉพาะในกรณีที่มีความจำเป็นด้วยวิธีการตามที่กฎหมายกำหนด

การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทฯ อาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานกำกับดูแล และบุคคลหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องภายใต้วัตถุประสงค์ที่กำหนดในนโยบายการคุ้มครองข้อมูลฉบับนี้ เช่น กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด ศาล ผู้ประมวลผลข้อมูล ผู้ให้บริการภายนอก ผู้มีอำนาจตามกฎหมาย เป็นต้น ทั้งนี้ บริษัทฯ จะดูแลให้บุคคลหรือหน่วยงานที่เป็นผู้รับข้อมูลดังกล่าวเก็บรวบรวม ใช้ และ / หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามขอบเขตและวัตถุประสงค์ต่างๆ ที่กำหนดในนโยบายฉบับนี้

ระยะเวลาในการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน

บริษัทฯ จะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ตามระยะเวลาที่จำเป็นในระหว่างที่ท่านเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ หรือตลอดระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องซึ่งอาจจำเป็นต้องเก็บรักษาไว้ต่อไปภายหลังจากนั้นหากมีกฎหมายกำหนดหรืออนุญาตไว้เป็นระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี ทั้งนี้ บริษัทฯ จะมีการดำเนินการในขั้นตอนที่เหมาะสมเพื่อลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคล หรือทำให้เป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุถึงตัวตนของท่านได้เมื่อหมดความจำเป็นหรือสิ้นสุดระยะเวลาดังกล่าว

การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน

บริษัทฯ จะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้เป็นอย่างดีตามมาตรการเชิงเทคนิค (Technical Measure) และมาตรการเชิงบริหารจัดการ (Organizational Measure) เพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสม และเพื่อป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทฯ ได้กำหนดนโยบาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น มาตรฐานความปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้รับข้อมูลไปจากบริษัทฯ ใช้หรือเปิดเผยข้อมูลนอกวัตถุประสงค์ หรือโดยไม่มีอำนาจหรือโดยไม่ชอบ บริษัทฯ ได้มีการปรับปรุงนโยบาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ดังกล่าวเป็นระยะๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสม

นอกจากนี้ ผู้บริหาร พนักงาน ลูกจ้าง ผู้รับจ้าง ตัวแทน ที่ปรึกษา และผู้รับข้อมูลจากบริษัทฯ มีหน้าที่ต้องรักษาความลับข้อมูลส่วนบุคคลตามมาตรการรักษาความลับที่บริษัทฯ กำหนด

สิทธิของท่านเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล

สิทธิของท่านเป็นสิทธิตามกฎหมาย อาทิ สิทธิขอถอนความยินยอม สิทธิขอเข้าถึงข้อมูล สิทธิขอถ่ายโอนข้อมูล สิทธิขอคัดค้าน สิทธิขอให้ลบหรือทำลายข้อมูล สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูล สิทธิขอให้แก้ไขข้อมูล สิทธิร้องเรียน โดยท่านสามารถขอใช้สิทธิต่างๆ ได้ ภายใต้ข้อกำหนดของกฎหมายและที่กำหนดไว้ในขณะนี้หรือที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมในอนาคตตลอดจนหลักเกณฑ์ตามที่บริษัทฯ กำหนดขึ้น ในกรณีท่านมีอายุไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ หรือถูกจำกัดความสามารถในการทำนิติกรรมตามกฎหมาย ท่านสามารถขอใช้สิทธิโดยให้บิดาและมารดา ผู้ใช้อำนาจปกครอง หรือผู้มีอำนาจกระทำการแทน เป็นผู้แจ้งความประสงค์

การใช้สิทธิของท่านข้างต้น อาจถูกจำกัดภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และบางกรณีที่มีเหตุจำเป็นที่บริษัทฯ อาจปฏิเสธหรือไม่สามารถดำเนินการตามคำขอใช้สิทธิข้างต้นของท่านได้ เช่น ต้องปฏิบัติตามกฎหมายหรือคำสั่งศาล เพื่อประโยชน์สาธารณะ การใช้สิทธิอาจละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เป็นต้น หากบริษัทฯ ปฏิเสธคำขอข้างต้น บริษัทฯ จะแจ้งเหตุผลของการปฏิเสธให้ท่านทราบ

วิธีการการติดต่อบริษัทฯ และ / หรือ เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

หากท่านมีข้อเสนอแนะ หรือต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดการเก็บรวบรวม ใช้ และ / หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน รวมถึงการขอใช้สิทธิ ท่านสามารถติดต่อบริษัทฯ และ / หรือเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ผ่านช่องทางดังนี้

โทร 02-6598000 ต่อ 8427

เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

อีเมล: [email protected]

บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เลขที่ 130-132 อาคารสินธร ทาวเวอร์ 1 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330

นโยบายการจ่ายเงินปันผล

บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีนโยบายการจ่ายเงินปันผล ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิ ที่เหลือหลังหักเงินสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามกฎหมาย โดยที่การจ่ายเงินปันผลเป็นไปตามมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น

ราคาหลักทรัพย์บริษัท

ข้อมูลราคาหลักทรัพทย์บริษัทรายวัน UOBKH : บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

UTRADE Newsletter