สารจากประธานกรรมการ
ประเทศไทย
สรุปภาพรวมของปี 2565
เศรษฐกิจไทยเติบโตร้อยละ 2.6 ในปี 2565 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการเติบโตเพียงร้อยละ 1.6 ในปี 2564 ปัจจัยหลักที่หนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยมาจากการประกาศยกเลิกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโดวิด เมื่อเดือนกรกฎาคม 2565 ซึ่งส่งผลให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน ขณะที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยทั้งปีรวมสูงกว่า 11 ล้านคน ทั้งนี้ การบริโภคในประเทศและภาคการท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและจะช่วยทำให้มีภาพการเติบโตที่เป็นบวกต่อภาพเศรษฐกิจโดยรวม
ภาพรวมธุรกิจหลักทรัพย์ยังคงทำผลงานได้ดีแม้ว่าจะปรับตัวลดลงจากปี 2564 ในภาพของมูลค่าการซื้อขาย มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ตลอดทั้งปี 2565 อยู่ที่ 17.1 ล้านล้านบาท ลดลง 19.47% เมื่อเปรียบเทียบกับ 21.3 ล้านล้านบาท ในปี 2564
เนื่องมาจากการกลับมาดำเนินชีวิตแบบปกติหลังจากการประกาศยกเลิกการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด19 ประกอบกับมีธุรกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงที่มีการล็อกดาวน์ ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ Market Cap
ของดัชนี SET อยู่ที่ 20.4 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.38 เมื่อเปรียบเทียบกับ 19.5 ล้านล้านบาท ในปี 2564
แนวโน้มปี 2566
UOB Global Economic & Market Research คาดการณ์เศรษฐกิจไทยจะเติบโตร้อยละ 3.7 ในปี 2566 จากความคาดการณ์การฟื้นตัวของรายได้จากการท่องเที่ยวที่จะเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวกับการอุปโภคบริโภคภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง
การเปิดประเทศของจีนที่เร็วกว่าที่ตลาดคาด ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2566 เป็นปัจจัยบวกต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของไทย นอกจากนี้ ประเทศจีนได้เริ่มกลับมาอนุญาตให้สามารถเดินทางออกนอกประเทศแบบกลุ่มนำเที่ยว เบื้องต้นไปยัง 20 ประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย แนวทางดังกล่าวคาดว่าจะเป็นปัจจัยกระตุ้นธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศของไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 30 ล้านราย สำหรับปี 2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากเพียง 11.2 ล้านรายในปี 2565 โดยตัวเลขเป้าหมายดังกล่าวเทียบเท่าระดับท่องเที่ยวร้อยละ 75 ของช่วงเวลาก่อนสถานการณ์ระบาดของโควิด
การส่งออกของไทย คาดว่าจะเติบโตเพียงร้อยละ 1.0 ในปี 2566 ลดลงจากการเติบโตร้อยละ 5.5 ในปี 2565 คาดการณ์โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะกลับมาเกินดุลที่ 5.6 พันล้านบาท ในปี 2566 จากผลขาดดุลถึง 16.9 พันล้านบาท ที่เกิดขึ้นในปี 2565 เนื่องจากการนำเข้าปิโตรเลียมที่คาดว่าจะลดลง และดุลบริการที่คาดว่าจะดีขึ้นจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ภาวะการทวนกระแสโลกาภิวัฒน์ (deglobalisation) และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่เกิดขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ได้ส่งผลให้ผู้ประกอบการผลิตวางแผนที่จะย้ายฐานการผลิตออกจากจีนไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งส่งผลบวกต่อเม็ดเงินลงทุนทางตรงจากต่างชาติ (Foreign Direct Investment) และต่อกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ทั้งนี้ปัจจุบันประเทศไทยมีสำรองกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่สูงกว่าร้อยละ 40 ของกำลังการผลิตของประเทศ ทำให้ไทยเป็นเป้าหมายการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจที่มีการบริโภคไฟฟ้าสูง อาทิ บริการเกี่ยวกับคลาวด์, ศูนย์ข้อมูล (Data center) และยานยนต์ไฟฟ้า
เงินเฟ้อมีสัญญาณชะลอตัวลงตามราคาพลังงานที่ปรับตัวลดลง ซึ่งช่วยลดแรงกดดันฝั่งต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับไฟฟ้า เงินเฟ้อในเดือน มกราคม 2566 ลดลงเหลือร้อยละ 5.02 และธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าจะปรับลดลงเหลือร้อยละ 1-3
เราคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.50 ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2566 ซึ่งจะส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ร้อยละ 1.75
สภาวะตลาดหลักทรัพย์โดยรวมปี 2565
ดัชนี SET ปิดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปี 2565 โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.67 อย่างไรก็ตาม ระหว่างปีมีการปรับตัวลงไปแตะจุดต่ำสุดของปีที่ 1,517.17 จุด ในเดือนกรกฏาคม 2565 ทำให้ผลตอบแทนของตลาดตั้งแต่ต้นปี 2565 จนถึงช่วงดังกล่าว ติดลบร้อยละ 8.45 ซึ่งการปรับตัวลงสะท้อนถึงความผันผวนของการลงทุนในช่วงระหว่างปี 2565 ของตลาดหุ้นไทยได้ค่อนข้างดี ขณะที่ภาพรวม ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งในเดือนธันวาคม 2565 หลังจีนประกาศเปิดประเทศ หนุนการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศ
หากพิจารณาผลตอบแทนของหุ้นในแต่ละกลุ่ม กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดสูงที่สุดจะเป็น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (Electonics) ปรับตัวขึ้นร้อยละ 57.44 นำโดยหุ้น DELTA ที่ปรับตัวขึ้นร้อยละ 101.46 ขณะที่กลุ่มรองลงมาจะเป็นกลุ่มท่องเที่ยว (Tourism) ปรับตัวขึ้นร้อยละ 36.28 โดยได้รับประโยชน์จากการประกาศยกเลิกมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด19 รวมถึงการเปิดประเทศของจีน กลุ่มถัดมาจะเป็นกลุ่มการแพทย์ (Healthcare) ปรับตัวขึ้นร้อยละ 25.25 ถัดมา กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Property) ปรับขึ้นร้อยละ 13.69 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการเร่งโอนโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม หลังไม่มีการต่อมาตรการผ่อนคลาย LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย และกลุ่มขนส่ง (Transportation) ปรับขึ้นร้อยละ 11.75 ขณะที่กลุ่มที่ทำผลงานได้แย่กว่าตลาดจะเป็นกลุ่มของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ (Person) ปรับตัวลงร้อยละ 51.52 กลุ่มวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร (IMM) ปรับตัวลงร้อยละ 39.07 กลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ (Steel) ปรับตัวลงร้อยละ 23.66 และกลุ่มธุรกิจการเกษตร (Agriculture) ปรับตัวลงร้อยละ 20.41
นักลงทุนต่างชาติเป็นเพียงนักลงทุนกลุ่มเดียวที่มีการซื้อสุทธิในปี 2565 โดยมีการซื้อสุทธิในหุ้นไทย 202 พันล้านบาท ขณะที่นักลงทุนที่ขายสุทธิจะเป็น นักลงทุนสถาบันในประเทศ และ นักลงทุนภายในประเทศ ที่มีการขายสุทธิ 153 พันล้านบาท และ 45 พันล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ภาพรวม นักลงทุนต่างชาติสามารถดูดซับแรงขายจากนักลงทุนในประเทศ และช่วยหนุนให้ตลาดสามารถปรับตัวขึ้นได้ในปีที่ผ่านมา
ผลการดำเนินงาน ปี 2565
แม้ว่าธุรกิจจำนวนมากได้รับผลกระทบจากการระบาดใหญ่และรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองต่อมาตรการเข้มงวดที่เกิดจากการระบาดใหญ่ แต่เราโชคดีที่ธุรกิจหลักทรัพย์กลับได้รับผลกระทบในทางลบไม่มาก และเราก็สามารถได้รับประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้น สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการลงทุนของเราในการพัฒนาเทคโนโลยีการซื้อขายตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้การซื้อขายสามารถทำได้บนอุปกรณ์ที่หลากหลายทุกที่ทุกเวลา ความสนใจในการซื้อขายหุ้นและหุ้นเพิ่มขึ้นเมื่อนักลงทุนรับรู้ถึงศักยภาพจากการซื้อขายในตลาดหุ้นในปี 2564 เราสามารถได้รับประโยชน์จากจำนวนนักลงทุนที่เปิดบัญชีซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมากกับเรา
มูลค่าการซื้อขายลดลงจาก 1,206,932 ล้านบาท ในปี 2564 เป็น 748,216 ล้านบาท ในปี 2565 กำไรสุทธิลดลงระหว่างปีจาก 381,045,224 บาท เป็น 217,211,672 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทไม่น้อยกว่าอัตราร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษี และเงินปันผลสำหรับงวดปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ในอัตรา 0.09 บาทต่อหุ้นจะเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติต่อไป
ความผันผวนของตลาดหุ้นที่เกิดจากการระบาดใหญ่ได้ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อธุรกิจของเรา
แนวโน้มตลาดหุ้นและธุรกิจปี 2566
เรามีมุมมองว่าหุ้นไทยปี 2566 จะมีความเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างแตกต่างกัน โดยคาดในครึ่งปีแรกจะมีความเคลื่อนไหวที่ดีที่มีแรงหนุนมาจากโมเมนตัมของการเปิดเมือง ขณะที่ครึ่งหลังจะมีความน่าสนใจในการลงทุนที่น้อยกว่า
มุมมองเชิงบวกต่อภาพการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรก มาจากเรื่องเชื่อว่าเศรษฐกิจจะได้รับแรงผลักดันจาก 1) โมเมนตัมของการฟื้นตัวจากการเปิดเมืองที่ยังปรับดีขึ้น 2) การเปิดประเทศของจีน และการเข้ามาของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ 3) การปรับลดลงของต้นทุน ทั้งจากราคาพลังงานและเงินเฟ้อที่ลดลง ซึ่งจะช่วยผลักดันผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน 4) การเดินหน้าสู่การเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งหนุนบรรยากาศของการใช้จ่ายและความเชื่อมั่นผู้บริโภค และ 5) ผลกระทบของเศรษฐกิจถดถอยในยุโรปที่อยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ความเสี่ยงของการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีนี้ อยู่ในระดับที่ลดลง
อย่างไรก็ตาม เรามีมุมมองต่อการลงทุนในตลาดหุ้นที่ระมัดระวังมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมีสาเหตุมาจาก 1) การเปิดประเทศของจีนที่น่าจะเริ่มเข้าสู่ระดับฟื้นตัวเต็มที่ อาจจะผลักดันราคาน้ำมันดิบและสินค้าโภคภัณฑ์ให้ปรับสูงขึ้น ซึ่งจะกลับไปกระตุ้นการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อ 2) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่เข้าสู่ช่วยท้ายของวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ย มีโอกาสเหนี่ยวนำให้เงินลงทุนเคลื่อนย้ายจากหุ้น เข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ และ 3) ความเสี่ยงที่นักลงทุนอาจปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย และจัดสรรน้ำหนักการลงทุนที่มากขึ้นไปยังจีนและยุโรป หลังเศรษฐกิจมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น
เราคาดว่ามูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในปี 2566 มีโอกาสชะลอตัวลงจากปัจจัยภายนอกที่กดดัน โดยเฉพาะจากการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสำคัญของโลกยังน่าจะเห็นการขึ้นดอกเบี้ยและนโยบายการเงินตึงตัว ซึ่งจะยังเป็นปัจจัยกดดันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและสินทรัพย์เสี่ยง
ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศมีความท้าทายมากขึ้น โดยแม้เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและภาคบริการ รวมถึงการเลือกตั้งทั่วไปที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงพฤษภาคม 2566 ซึ่งส่งผลบวกต่อการฟื้นตัวของการบริโภคโดยเฉพาะในครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตามขั้นตอนการจัดตั้งรัฐบาลที่ยาวนาน ทำให้คาดว่าการตั้งคณะรัฐมนตรีจะแล้วเสร็จในช่วงสิงหาคม 2566 อาจทำให้เกิดความล่าช้าของงบประมาณ ซึ่งจะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2566ถึงต้นปี 2567
นอกจากนี้ ปัญหาเกี่ยวกับการซื้อขายที่ผิดปกติ และการชำระราคาหลักทรัพย์ของบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) ที่เกิดขึ้นในช่วงพฤศจิกายน 2565 ซึ่งบริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากธุรกรรมดังกล่าว อย่างไรก็ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง กระทบต่อฐานเงินทุนของหลายบริษัท ส่งผลให้บริษัทหลักทรัพย์น่าจะต้องจำกัด และเพิ่มความระมัดระวังในการทำธุรกรรมซื้อหลักทรัพย์ ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบต่อการเติบโต ทั้งนี้ปัจจุบันคดีดังกล่าวอยู่ในการสืบสวนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
ปัจจัยเสี่ยงทางธุรกิจที่สำคัญอีกประการคือการเก็บภาษีขายหุ้น โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อ 29 พฤษจิกายน 2565 เห็นชอบร่างกฎหมายจัดเก็บภาษีธุรกรรมทางการเงิน สำหรับหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการกลับมาจัดเก็บภาษีธุรกรรมทางการเงินหลังได้รับการยกเว้นมากว่า 30 ปี ทั้งนี้อัตราภาษีที่จะจัดเก็บอยู่ในระดับใกล้เคียงกับอัตราค่าธรรมเนียมการซื้อขายเฉลี่ย ซึ่งจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้ลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงอาจกระทบต่ออุปสงค์ในการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยสภาธุรกิจตลาดทุน (FETCO) ประเมินอาจส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายหายไปร้อยละ 30-40 ปัจจุบันร่างกฎหมายดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการร่างโดยกระทรวงการคลัง
คำขอบคุณ
ที่ผ่านมาเป็นปีที่ดีมากสำหรับ ยูโอบี เคย์เฮียน ประเทศไทย สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากความทุ่มเทและการทำงานหนักของพนักงานและทีมผู้บริหาร และความไว้วางใจจากลูกค้าและผู้ถือหุ้นของเรา ในนามของคณะกรรมการ ผมขอขอบคุณผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเราสำหรับความช่วยเหลือของพวกเขา และเราหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากพวกเขา และขอขอบคุณคณะกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานที่ให้การสนับสนุนตลอดหลายปีที่ผ่านมา
นายวิโรจน์ ตั้งเจตนาพร
ประธานกรรมการ
บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน ( ประเทศไทย ) จำกัด (มหาชน)